นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นต่อมาตรการเยียวยาของรัฐบาลว่า เห็นภาพประชาชนมาร้องเรียนเรื่องการเยียวยาในกรุงเทพมหานคร จากกระทรวงการคลัง ไปกรมประชาสัมพันธ์ และในต่างจังหวัดเพิ่งสั่งให้ร้องเรียนได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด กับธนาคาร นั้น
เห็นภาพที่กรมประชาสัมพันธ์ และจังหวัดต่าง ๆ แล้ว บอกได้คำเดียวสั้น ๆ ว่า สงสารประชาชนเป็นที่สุด ที่ดิ้นรนเพื่อให้ได้รับการเยียวยา
รัฐบาลไม่สามารถ ไม่รอบรู้ ไปทุกเรื่อง ไม่เป็นไร แต่ควรฟังเสียงผู้แทนประชาชนบ้าง ที่เพียรเสนอแล้ว เสนออีกถึงมาตรการในการเยียวยาประชาชนที่ต้องดำเนินการโดยรวดเร็ว ทั่วถึง ไม่ยุ่งยาก
แต่นี่เวลาผ่านมา 2 เดือนเศษ นับแต่มีมาตรการตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ภาพมันฟ้องว่า การเยียวยาล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ
ดังนั้น ประชาชนจะไว้ใจให้บริหารงบประมาณเงินกู้ 1.9 ล้านล้าน ให้มีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนได้อย่างไร
สถานการณ์ปัจจุบัน เห็นบริษัท ห้างร้าน โรงงาน โรงแรม ฯ ลฯ ทะยอยปิดกิจการ ส่งผลให้มีคนตกงานอาจถึง 10 ล้านคน GDP คาดว่าจะติดลบระหว่าง 6 – 10% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจ สังคม อย่างมหาศาล
จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลนี้จะรับมือไหวหรือ เพราะ 6 ปีทึ่ผ่านมา ขนาดยังไม่มีวิกฤตโควิด ยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง
ของประชาชนไม่ได้
และนี่แค่เริ่มต้นเยียวยาผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากมาตรการควบคุมไวรัสโควิด เห็นได้ชัดเจนว่าล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ มีประชาชนเดือดร้อนมากมายถึงขั้นฆ่าตัวตายในจำนวนที่ทัดเทียมกับการตายด้วยไวรัสโควิด แล้วเราประชาชนคนไทยยังจะคิดฝากผี ฝากไข้ ฝากประเทศไว้กับรัฐบาลนี้ได้หรือ
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยเฉพาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ต้องตั้งสติ ประเมินตนเองว่า เอาบ้านเมืองอยู่หรือไม่ ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจที่ตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งทีมงานก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
ผมขอฝากข้อสังเกตว่า ภาคส่วนต่าง ๆ ต้องช่วยกันคิดว่า ภายใต้โครงสร้าง กติกา ทางการเมืองในปัจจุบัน เราจะร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองให้กับประเทศของเราได้อย่างไร
ผมเห็นว่า วิกฤตประเทศครั้งนี้ ถือเป็นวิกฤตประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง และที่สำคัญ คือ แก้ไขวิกฤตได้ยากอย่างยิ่ง ไม่อาจใช้โครงสร้างที่สร้างมาเพื่อการสืบทอดอำนาจมาแก้ไขปัญหาวิกฤตยิ่งดังกล่าวได้
ผมเห็นว่า ต้องระดมภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วมกันแก้วิกฤต โดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติร่วมกัน เพราะวิกฤตนี้เกินกำลังของรัฐบาลนี้แน่นอนดังกล่าวข้างต้น
ลำพังเพียงพรรคการเมืองหลักเปลี่ยนเก้าอี้ดนตรีในตำแหน่งรัฐมนตรีกัน ไม่อาจแก้วิกฤตบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน
กล่าวโดยสรุป วิกฤตครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การปกครองของประเทศ ถึงจะเอาบ้าน เอาเมือง เอาสถานการณ์อยู่ ผมหวังที่จะเห็นภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมกันหาทางออกจากวิกฤตร่วมกันด้วยความรู้รักสามัคคี