นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงการมาตรการจ่ายเงินเยียวยาภาคเกษตรของรัฐบาล ว่าเชื่อว่าการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเยียวยาภาคเกษตรจะไม่มีประสิทธิภาพและล่าช้า ดูเหมือนไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือภาคเกษตรอย่างจริงจัง ให้ความช่วยเหลือแบบขอไปที ไม่กระตือรือร้นและตั้งใจช่วยอย่างเต็มที่
หน่วยงานรัฐมีฐานข้อมูลของเกษตรกรอยู่แล้ว มีการขึ้นทะเยียวยาเกษตรมาหลายรอบ ดังนั้นรัฐบาลทราบอยู่แล้วว่าใครทำอะไร ทุกสาขาอาชีพรัฐมีหมด แต่กลับตั้งเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือมากมาย ซึ่งที่ผ่านมาเกษตรกรประสบปัญหาทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ในพื้นที่ทำการเกษตร รัฐบาลมีมาตรการจ่ายชดเชยให้กับเกษตรกรใช้เวลานานกว่า6 เดือน ดำเนินการล่าช้าจนเกษตรกรต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน ด้วยการไปกู้หนี้เพื่อมาทำการเกษตรดีกว่านั่งรอเงินจากรัฐบาลที่ไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่
นายนิยม กล่าวด้วยว่า การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาลช้ามาก ต่างจากการช่วยเหลือภาคเอกชนที่รัฐบาลทำการอย่างรวดเร็ว มีการกู้เงินเพื่อมาเยียวยาภาคเอกชนขนาดใหญ่ แต่กับเกษตรกร มีเงื่อนไขมากมายหากไม่ทำก็ไม่มีสิทธิรับเงินเยียวยา ชี้ให้เห็นว่ารัฐมองเกษตรกรเป็นพลเมืองชั้น 2 ของประเทศ
“มาตรการการเยียวยาภาคเกษตรของรัฐ เป็นมาตรการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ครอบครัวล่ะ 15,000 บาท แบ่งจ่าย 3 เดือนเดือนล่ะ 5,000 บาท สุดท้ายจะเป็นเบี้ยหัวแตกเพราะการเยียวยาเช่นนี้เกษตรกรไม่สามารถที่จะต่อยอดได้ รัฐควรให้เป็นเงินก้อนและดูความจำเป็นในการใช้เงินของเกษตรกร นอกจากนี้รัฐต้องไม่มั่วข้อมูลกับการเยียวยาประชาชน” นายนิยมกล่าว