เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ศูนย์ประสานงานอนาคตใหม่ฝั่งธนบุรี นางสาวพรรณิการ์ วานิช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรคอนาคตใหม่และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาฯ สืบเนื่องจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค อันส่งผลให้นางสาวพรรณิการ์ และกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี และไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในรัฐสภาได้ โดยบรรยากาศภายในศูนย์ประสานงานฝั่งธนฯนั้น มีสื่อมวลชนและประชาชน ร่วมรับฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาเป็นจำนวนมาก
พรรณิการ์ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาวันนี้เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา กับคดี 1 Malaysia Development Berhad (1MDB) ซึ่งเป็นกองทุนช่วยเหลือและพัฒนาประชาชนมาเลเซีย ซึ่งข้อเท็จจริงหลายกรณีที่ทำให้เชื่อได้อย่างเต็มใจว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สมควรได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกต่อไป โดยสิ่งที่ตนจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เคยรู้ และไม่อาจคาดคิดมาก่อนเลยว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจสมรู้ร่วมคิดปกปิดผู้กระทำผิดในคดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“หลักฐานข้อมูลที่ดิฉันจะกล่าวต่อจากนี้ไป เป็นเหตุทำให้ควรเชื่อได้ว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทำการ ปกปิดข้อเท็จจริงกรณีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการรับรู้ของประชาชน ทั้งคนมาเลเซีย คนไทย และประชาคมโลก บิดผันกระบวนการยุติธรรม เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก และปล่อยให้อาชญากรข้ามชาติลอยนวล ให้ที่พักพิง หลบซ่อนตัวแก่ผู้ต้องหาที่มีหมายแดงจากอินเตอร์โพล หรือตำรวจสากล ที่เป็นที่ต้องการตัวในหลายประเทศ บ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีกับชาติพันธมิตรของไทย ทั้งหมดนี้คือการใช้อำนาจในทางมิชอบ เอาจุดยืนทางการเมืองระหว่างประเทศของไทยไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นการกระทำที่น่าละอาย อย่าว่าแต่น่าละอายในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่เกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่ยังน่าละอายในฐานะคนที่ประกาศว่าตนเอง “รักชาติ” ด้วย” พรรณิการ์ กล่าว
** คดีอื้อฉาวทางการเงินระดับโลก
พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า คดี 1MDB เป็นเรื่องอื้อฉาวทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 2558 แคลร์ บราวน์ แห่งซาราวัก รีพอร์ท และแบรดลี โฮป กับทอม ไรท์ สองนักข่าวสายการเงินแห่ง WSJ ตีแผ่ข้อมูลนี้ออกมา โดยข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเปิดเผยว่ามีเงินจำนวนถึง 1.4 แสนล้านบาท หรืออย่างน้อย 4.5 พันล้านดอลลาร์ที่มีไว้สำหรับช่วยเหลือประชาชนมาเลเซีย หายเข้าสู่ระบบการเงินโลกอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งภายหลังมาเลเซียเปิดเผยว่าเงินจำนวนถึง 2 หมื่นล้านบาทถูกนำเข้าบัญชีเจ้าหน้าที่รัฐมาเลเซียหมายเลข 1 โดยตรง นั่นคือนาจิบ ราซัค อดีตนายกฯมาเลเซีย
ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับคดีนี้เลย ถ้าไม่เกิดรัฐประหารโดยพลเอกประยุทธ์ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในเวลานั้น รัฐบาลทหารขาดความชอบธรรมอย่างหนักทั้งในและนอกประเทศ การบังคับควบคุมในประเทศยังพอทำได้ด้วยมาตรา 44 และการควบคุมสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ ในเวลานั้นเอง นาจิบ ราซัค ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก ความผิดปกติในกองทุน 1MDB และนาจิบเองก็กำลังต้องการเพื่อนผู้ช่วยเหลือในยามยาก และนั่นอาจทำให้เขาตัดสินใจเป็นผู้นำคนแรกที่ให้การรับรองรัฐบาลทหารของไทย การรับรองรัฐบาลทหารในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ตนขอเรียกว่า “พันธมิตรมืด” ระหว่างพลเอกประยุทธ์ และนาจิบ
** เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุกเพื่อปิดปาก
พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ผ่านไปไม่กี่เดือน พันธมิตรที่นาจิบสร้างไว้ก็ได้เวลาใช้ประโยชน์ ชาเบียร์ ฆุสโต ชายชาวสวิสเชื้อสายสเปน หนึ่งในผู้บริหารของปิโตรซาอุดี บริษัทที่เป็นเครือข่ายฟอกเงินของแก๊ง 1MDB ลาออกจากบริษัทพร้อมนำข้อมูลอีเมล 230,000 ฉบับ รวม 90 กิกกะไบต์ เปิดต่อสาธารณะ ผ่านแคลร์ บราวน์ แห่งซาราวัค รีพอร์ท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และในเดือนมิถุนายน WSJ ก็ตีพิมพ์เรื่องนี้จนกลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลก
“ดิฉันได้พูดคุยกับแคลร์ บราวน์ และชาเบียร์ ฆุสโต ด้วยตนเอง พวกเขายืนยันว่าถูกคุกคามอย่างหนักจากนาจิบ แม้แคลร์จะมีศักดิ์เป็นถึงน้องสะใภ้ของกอร์ดอน บราวน์ อดีตนายกฯอังกฤษ เธอก็ยังถูกสะกดรอยตาม ถูกพยายามแฮ็กอีเมล ถูกดิสเครดิตว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบ และทั้งแคลร์และชาเบียร์ ถูกป้ายสีว่าเป็นพวกที่สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายค้าน แคลร์บอกว่าเธอตัดสินใจเดินทางกลับอังกฤษ เพราะรู้ตัวว่าไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในมาเลเซีย หรือประเทศใดในอาเซียน ส่วนชาเบียร์ยังอยู่ในประเทศไทย เขาคิดจะลงหลักปักฐานที่เกาะสมุยพร้อมลอรา ภรรยา และซานเดอร์ ลูกที่เพิ่งคลอด
บ่ายวันที่ 22 มิถุนายน 2558 ตำรวจนับสิบบุกจับชาเบียร์ที่บ้านบนเกาะสมุย เขามาทราบภายหลังว่าตนเองถูกตั้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ จากตำรวจไทย การจับกุมครั้งนี้ ตำรวจแถลงข่าวใหญ่โตมาก แต่แล้วกลับเงียบหาย มีการกำชับว่าบุคคลที่มีสิทธิ์ให้ข่าวเรื่องนี้ มีเพียงพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ในขณะนั้น นอกจากนี้ทางการประเทศไทยก็มีความพยายามกีดกันไม่ส่งชาเบียร์กลับสวิสฯ และไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าเยี่ยมได้ง่ายๆ ระหว่างที่ชาเบียร์ติดคุกอยู่ที่ประเทศไทย” พรรณิการ์ กล่าว
พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ทั้งหมดกลายเป็นปาหี่ระดับชาติ เป็นเรื่องต้มตุ๋นครั้งใหญ่ที่กระบวนการยุติธรรมไทยรวมหัวกับเครือข่าย 1MDB ยัดคนบริสุทธิ์เข้าคุก ตำรวจไทยบอกว่าอังกฤษส่งตำรวจมาร่วมสอบสวน ซึ่งในความเป็นจริง พอล ฟินนิแกน บุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด กลับเป็นตำรวจปลอม เขาเป็นอดีตตำรวจที่ปิโตรซาอุดีจ้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินคดีชาเบียร์ที่ไทย โดยหลักฐานสำคัญคืออีเมลจากแอทกินส์ ทอมป์สัน สำนักทนายความที่ปิโตรซาอุดีว่าจ้าง อีเมลนี้ส่งไปถึงสำนักข่าวเดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ เพื่อชี้แจงแก้ต่างให้ปิโตรซาอุดี หลังจากการ์เดียนตีพิมพ์ข่าวคดีทุจริต 1MDB ในอีเมลนั้น ระบุชัดว่าปิโตรซาอุดี ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ผู้เป็น “อดีตตำรวจ” เพื่อดูแลประสานงานกับทางการไทยในการดำเนินคดีชาเบียร์
สิ่งที่ผิดปกติมากไปอีกขั้น คือมีหลักฐานว่าพอล ฟินิแกน ได้เข้าเยี่ยมชาเบียร์และบีบให้เขารับสารภาพ แต่สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือชื่อของพอล ไม่มีชื่อในรายชื่อผู้เข้าเยี่ยม เป็นคนอยู่เหรือกฎระเบียบของเรือนจำหรือถึงไม่ต้องถูกบันทึกชื่อไว้ ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก คือบันทึกบนสนทนาวอทซแอพ ระหว่างแพทริก มาฮอนี่ ตัวแทนของแอทกินส์ ทอมป์สัน กับลอร่า ฆุสโต ภรรยาของชาเบียร์ เป็นหลักฐานที่ได้รับการรับรองจากศาลสวิตเซอแลนด์แล้วว่าเป็นหลักฐานจริง บทสนานี้แพทริกระบุว่าตนสามารถควบคุมการเข้าเยี่ยมชาเบียร์ได้ ยกเว้นทนายความ ทำไมคนของปิโตรซาอุดีถึงกล้าพูดว่าสามาถรถควบคุมคนเข้าเยี่ยมในเรือนจำไทยได้ และดูเหมือนจะควบคุมได้จริง จากการที่พอล สามารถเข้าเยี่ยมชาเบียร์ได้ตลอดเวลาโดยไม่มีการบันทึกรายชื่อ
ถ้าจะมีอะไรที่ชัดเจนไปยิ่งกว่านี้ นั่นคือบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง ลอร่า ฆุสโต และ พ.ต.อ.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก เจ้าของคดีผู้ที่จับกุมและดำเนินคดีชาเบียร์ ลอร่าพยายามถามพงษ์ไสว ซึ่งยืนยันว่าพอล ฟิลิแกนรู้จักกันดีและเข้าไปเยี่ยมชาเบียร์บ่อยๆ จะเห็นได้ว่าสุดท้ายแล้วเรือนจำไทยกลายเป็นที่คุมขังปิดปากพยานปากเอกของคดี 1MDB และตำรวจและเจ้าหน้าที่เรือนจำประเทศไทยให้ความร่วมมือกับเรื่องนี้หรือไม่
นอกจากนี้ ลอร่ายังบอกกับตนเองว่าเอฟบีไอได้เคยมาติดต่อเธอและเล่าให้ฟังว่าพยายามเข้าไปขอสอบสวนชาเบียร์ในเรื่อนจำกลางคลองเปรมสามครั้ง ได้รับการปฏิเสธทั้งสามครั้ง สิ่งที่เอฟบีไอทำได้ คือการไปติดต่อลอร่าและให้ลอร่าเขียนจดหมายถึงสามี เพื่อลักลอบนำข้อมูล 1MDB ออกจากมาจากเรือนจำไทย ซึ่งต้องใช้เวลา 6 เดือนเพื่อให้เอฟบีไอมีข้อมูลเพียงพอในการสอบสวนคดี
สุดท้ายชาเบียร์รับสารภาพในข้อมูลอันเป็นเท็จจากการบีบบังคับของพอล ต้องโทษจำคุกสามปี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์พยายามขอส่งตัวนายชาเบียร์กลับมาประเทศไทยตามสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษที่มีระหว่างกัน กระบวนการเอกสารใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในเดือนกันยายนปี 2559 ที่นายชาเบียร์ควรจะได้รับการส่งตัว นายนาจิบมาเยือนประเทศไทย ที่น่าแปลกคือพร้อมๆกันนั้นข้อตกลงการส่งตัวนายชาเบียร์ก็ล่มไป
**บิดผันกระบวนการยุติธรรมในประเทศ คุ้มครองอาชญากรข้ามชาติ
พรรณิการ์กล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ ยังมีกรณีของบุคคลที่ช่วยนาจิบบริหารเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก นั่นก็คือ โลเตี๊ยกโจ หรือโจ โล นักธุรกิจเชื้อสายจีนจากปีนัง คนสนิทของนาจิบ ซึ่งสิงคโปร์ต้องการตัวมาสอบสวนในคดี และได้ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดงนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการในประเทศ ซึ่งประเทศต่างๆในภาคีเครือข่ายของตำรวจสากลจะต้องมีข้อมูล โดยเฉพาะการเดินทางเข้าออกผ่าน ตม.จะมีการแสดงผลขึ้นทันทีว่ามีหมายแดง
แต่ปรากฏว่ามีหลักฐานประวัติการเดินทางผ่านแดนไทยของโจ โล ที่เข้าออกเมืองไทยถึง 5 ครั้ง นับตั้งแต่วันที่มีหมาย ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 โดยที่ไม่ปรากฏว่าทางการไทยแจ้งไปยังสิงคโปร์ ประเทศผู้ขอหมายแดงเลย คำถามคือพลเอกประยุทธ์ เลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อพันธมิตรมืด มากกว่ารักษากฎกติการะหว่างประเทศที่ไทยได้เข้าเป็นภาคี เลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับนาจิบ มากกว่านายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงของสิงคโปร์หรือไม่
พรรณิการ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า ว่าจากพยานหลักฐาน ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ทำให้เชื่อได้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ซึ่งมีอำนาจสั่งการข้ามกระทรวงทุกกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ให้ร่วมมือกันปกปิดข้อเท็จจริงของคดีปล้นเงินคนมาเลเซียครั้งใหญ่ ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมของต่างประเทศที่จะเอาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี บิดผันกระบวนการยุติธรรมในประเทศ เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุกเพื่อปิดปาก แต่กลับปล่อยให้คนที่มีหมายแดงจากอินเตอร์โพล ลอยนวลใช้ไทยเป็นที่กบดานนานหลายปี บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ด้วยการขัดขวางการสอบสวนของ FBI บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยการไม่ยอมส่งตัวชาเบียร์ ฆุสโต กลับมาตุภูมิ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ ด้วยการเพิกเฉยต่อหมายแดงอินเตอร์โพลที่ขอโดยสิงคโปร์
“แต่ที่รอไม่ได้ ณ ขณะนี้ ก็คือการให้พลเอกประยุทธ์ดำเนินนโยบายขายชื่อเสียงประเทศชาติแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว ดิฉันขอให้ทุกคนตัดสินใจ ว่าเราจะเอาคนที่เชื่อได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการนำเอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก ให้ที่พักพิงอาชญากรระดับโลก ขัดขวางการนำเงินภาษีของพี่น้องมาเลเซียที่ถูกปล้นไปกลับคืนเจ้าของ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อย่างไร
คดี 1MDB ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในมาเลเซียมาแล้ว เรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่โตด้วยจำนวนเงินและความพยายามปกปิดความผิด ได้ทำให้ระบอบอัมโนของนาจิบล้มลง ก่อเกิดเป็นพันธมิตรแห่งความหวัง ในยุคที่มืดที่สุดของมาเลเซีย ทำใ้ห้ประชาชนรวมตัวกันจุดแสงสว่างแห่งความจริงและความหวังขึ้นมา หวังว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเช่นกันในประเทศไทย ในยุคที่มืดมิดที่สุดและทำให้เราเชื่อว่าอำนาจมืดกดหัวให้เราทำอะไรไม่ได้” พรรณิการ์ กล่าว