นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สมาขิกสภาผู้แทนราษฎรเเบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน จากกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เห็นชอบต่อการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน เพื่อระงับข้อพิพาท 17 คดี
นั้นว่า ตนเเละพรรคอนาคตใหม่ได้ฟังการแถลงถึงเหตุผล ซึ่งทางพรรคก็ทราบดีอยู่แล้วเพราะติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยพรรคอนาคตใหม่ไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติจ่ายค่าแกล้งโง่ เป็นจำนวน 58,873 ล้านบาทในรูปของการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนออกไปอีก 15 ปี 8 เดือน
พรรคอนาคตใหม่ เห็นว่าการอนุมัติครั้งนี้มีข้อพิรุธหลายประเด็น ได้แก่ (1) เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ต่อการเอื้อประโยชน์ให้นายทุน (2) มูลค่า 58,873 ล้านบาทที่จะใช้หนี้จากการยอมแพ้ (ค่าแกล้งโง่) สูงเกินจริงมาก สูงกว่าค่าก่อสร้างทางด่วน กล่าวคือโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ดสร้างเมื่อปี 2539 ด้วยเงิน 14,589 ล้านบาท แต่ขาดทุน โดยอ้างเรื่องทางแข่งขัน แต่มูลค่าที่ฟ้องร้องมาและเจรจาต่อรองแล้ว สูงเกินจริง เอาเป็นว่าหากซื้อคืนในราคาเต็มยังถูกกว่ามาก (3) การอ้างว่ามูลค่าการคำนวณทำมาจาก eBUM อย่างถูกต้องแม่นยำ +- 5% ประเด็นนี้ ควรจะต้องมีการตรวจสอบในรายละเอียดถึงความถูกต้องแม่นยำ และข้อสมมติต่าง ๆ ที่ใช้ในการคำนวณ ( 4) ประเด็น ผู้ว่าการ ถึง 2 คน ลาออกติด ๆ กัน มีเงื่อนงำเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ขอให้สื่อมวลชนเจาะลึกถึงเทปการประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นเหตุทำให้ นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการทางพิเศษ ตัดสินใจลาออกเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 เหตุเพราะที่ประชุมบอร์ดไม่ยอมให้ผู้ว่าโต้แย้ง ไม่ยอมแม้การสงวนความเห็นในที่ประชุม และการขยายสัมปทานไม่ได้แปลว่ารัฐไม่ได้เสียอะไร รัฐสูญเสียรายได้โดยเงินไปเข้ากระเป๋าเอกชนแทน หากเก็บเงินนี้ไว้สู้คดี ยังคุ้มกว่า
ทั้งนี้ นายสุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคอนาคตขอฝากให้ประชาชนช่วยจับตา หลังจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ว่าจะมีผลกระทบตามมาอย่างไร พร้อมท้าให้ประชันวิสัยทัศน์กับรัฐบาล และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน