นางสาวเกศปรียา แก้วแสนเมืองโฆษกพรรคเพื่อชาติฝากถามพล.อ.ประยุทธ์ว่า เอาพื้นฐานความรู้อะไรตัดสินใจให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเก็บภาษีในอัตราสูงและไม่ควบคุมราคา ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2562 ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจัดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่ควบคุมราคา ไหนพล.อ.ประยุทธ์คุยนักหนาว่าตนเองอ่านหนังสือเยอะรู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องแค่สิทธิพื้นฐานของประชากรสตรีทำไมถึงไม่ทราบ
ผ้าอนามัยไม่ใช่สินค้าเครื่องสำอางหรือสินค้าฟุ่มเฟือยเพราะไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์หามาใช้เพื่อสนองความต้องการทางใจเป็นสินค้าที่สนองความต้องการทางกายภาพของเพศหญิง ผู้หญิงทั่วโลกไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเกิดมาโดยไม่มีมดลูก และประจำเดือนก็เป็นสิ่งที่ติดมาพร้อมการมีมดลูก ผ้าอนามัยควรถูกมองว่าเป็น ‘สินค้าจำเป็น’ ต่อสุขภาพอนามัย ไม่ใช่คิดแค่ว่าเป็น ‘ความรับผิดชอบส่วนตัว’ ของผู้หญิง รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์มองประชาชนเท่าเทียมไม่กดขี่ทางเพศ ต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัยของทุกเพศ ผ้าอนามัยคือสินค้าจำเป็นกับการดำเนินชีวิตสตรี รัฐบาลควรจัดให้เป็นสินค้าปลอดภาษี หรือแจกฟรีในสถานศึกษาทั่วประเทศ ไม่ใช่มาจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่สามารถเรียกเก็บภาษีได้ถึง 40% โดยไม่ควบคุมราคา ทำให้ในแต่ละเดือนประชากรสตรีต้องมีค่าใช้จ่ายในการในการซื้อผ้าอนามัยที่เป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิต 200- 400 บาทใกล้เคียงกับค่าแรงขั้นต่ำ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจโดยไม่คิดถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของสตรี ต้องการให้ประชาชนสตรีออกไป ‘วิ่งไล่ลุง’ใช่หรือไม่ ‘เกศปรียา’ ฝากถาม
ต่อมา นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ทวิตเตอร์ @ DrNarumonP ยืนยันว่า กรมสรรพสามิต ไม่มีการเก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยถึง 40%เพราะถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยไม่ได้ถูกระบุในพิกัดการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิต ดังนั้นภาษีผ้าอนามัยจึงจะถูกจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ตามราคาของสินค้าเหมือนสินค้าชนิดอื่น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 17 ธ.ค.2562 นางสาวเกศปรียา ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่ดิฉันออกมาให้ข่าวเรื่องผ้าอนามัย อันดับแรก ดิฉันขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจที่พูดถึงประเด็นนี้ ว่าไม่ได้ต้องการเล่นเรื่องนี้เป็นดราม่าหรือโจมตีรัฐบาล ดิฉันทำหน้าที่ในฐานะเป็นนักการเมือง เป็นปากเสียงประชาชน ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าผู้หญิงควรได้ราคาผ้าอนามัยที่ถูกกว่านี้ เพราะปัจจุบันในหลายประเทศได้มีการผ่านกฎหมายยกเลิกภาษีผ้าอนามัยแล้ว
นอกจากนี้ ยังเป็นการท้วงติงไปยังรัฐบาล เพื่อพิจารณาเปลี่ยนหมวดหมู่ของผ้าอนามัยไปอยู่ในเวชภัณฑ์ หรือหมวดที่เหมาะสมมากกว่าหมวดเครื่องสำอาง เพราะไม่อยากให้ประชาชนต้องแบกรับภาระที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ รวมถึงถือว่าเป็นการช่วยให้สังคมช่วยกันจับตาในประเด็นนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของผ้าอนามัย ที่เป็นสินค้าที่จัดอยู่ในหมวดของเครื่องสำอาง ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย สามารถมีเพดานภาษีได้ถึง 40% นั้น ซึ่งในส่วนนี้ดิฉันไม่ได้ก้าวล่วงไปบอกว่ารัฐได้จัดเก็บภาษีในส่วนตรงนี้เเล้ว เพียงเเต่เเสดงความเป็นห่วงว่า เพดานภาษีที่ 40%สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยนั้นเป็นปลายเปิดทางช่องกฎหมายที่สำคัญ พรก ควบคุมราคา 2562 มีอายุความเพียง 1 ปี ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะหมดแล้ว
ทั้งนี้ ในหลายประเทศยังมีการเรียกร้องให้ ผ้าอยามัยเป็นสินค้าปลอดภาษี หรือ Tax Free เนื่องจากผ้าอนามัยถือเป็นสินค้าที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้หญิง