นางสาวชนก จันทาทองส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย อภิปรายโดยระบุว่าจากการศึกษาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เกิดคำถามในใจ ว่านายกรัฐมนตรีผู้นำรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากการปฏิวัติตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 และได้บริหารประเทศยาวนานต่อเนื่องมาตลอด 5 ปี จะจัดสรรงบประมาณสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้จริงหรือไม่
รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่าย ปี 2563 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคสูงถึง 7.6 แสนล้านบาทหรือประมาณ 23.9 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด แต่รัฐบาลนี้ติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกเพราะไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย ตั้งสมมติฐานว่าคนไทยนั้นโง่และขี้เกียจจึงมีแต่นโยบายที่แจกแต่ไม่เคยคิดที่จะสร้างโอกาสให้ประชาชน
“ในเวลาที่ได้ออกเยี่ยมเยียน พี่น้องประชาชน มักได้รับฟังคำถามจากพี่น้องประชาชนเสมอว่าเมื่อไรจะได้รับบัตรคนจน เมื่อไรเงินคนแก่จะโอนมา เมื่อไหร่เงินคลอดลูกจะได้ ไหนว่ารัฐบาลจะช่วย”
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จะสามารถใช้งบประมาณแผ่นดินเปลี่ยนความคิดของพี่น้องประชาชนคนไทยได้มากมายขนาดนี้ ไม่สร้างโอกาสใหม่ ยังไม่พอแต่ยังทำลายโอกาสเดิมด้วย
สามารถเปลี่ยนความคิดของพี่น้องประชาชนคนไทยให้กลับไปรอคอยความช่วยเหลือจากเงินสวัสดิการภาครัฐ เราเคยมีนโยบายกองทุนหมู่บ้าน กองทุนหมู่บ้านเราใช้จ่ายงบประมาณแค่ครั้งเดียวโอนไปแค่ครั้งเดียว ใช้น้อยแต่เกิดประสิทธิผลสูง
เงินงบประมาณจะโอนตรงไปให้พี่น้องประชาชน พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เขาจะคิดเองว่าเงินกองทุนนี้จะเอาไปใช้อะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเขาแต่ 5 ปีที่ผ่านมา นโยบายของรัฐบาลนำงบประมาณแผ่นดินไปแจกไม่สอนประชาชนคิดว่าจะทำอย่างไร แต่กลับสอนให้คนไทยรอว่าเมื่อไหร่จะได้รับความช่วยเหลือ
คำถามต่อมาคือประชาชนจะได้อะไรจากงบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้งบประมาณที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เป็นงบประมาณที่ไหลออกก่อหนี้กับประเทศผูกพันหลายปีงบประมาณรายจ่ายด้านการลงทุนจำนวน 6.5 แสนล้านบาทคิดเป็น 25% ของงบประมาณทั้งหมดในปีนี้ และเป็นงบรายจ่ายที่ผูกพันล่วงหน้าข้ามปีมากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งนำไปซื้ออาวุธ ยุทธโธปกรณ์ เป็นงบลงทุนที่ไม่ได้เสริมปัญญาแต่กลับนำไปเสริมอาวุธ
และเห็นว่าท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลง พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถเปลี่ยนความคิดตัวเอง เปลี่ยนจากการซื้อรถถังการซื้อเรือดำน้ำ เปลี่ยนมาซื้อแท็บเล็ตติดอุปกรณ์เครื่องมือให้กับนักเรียนนักศึกษา เยาวชนของคนไทยเพื่อให้เกิดการแข่งขันกับต่างประเทศได้
รัฐบาลจัดสรรงบประมาณไม่ตรงกับสถานการณ์ของโลก จัดสรรงบประมาณไม่เหมาะสมไม่เกิดประโยชน์สูงสุดล้มเหลวในวิธีคิดสิ้นเชิง
นอกจากนี้ยังตั้งคำถามต่อด้วยว่า งบที่ตรวจสอบไม่ได้รัฐบาลจะนำไปทำอะไรรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์โยกเงินไปกองไว้ที่งบกลาง 5.18 แสนล้านบาทสูงเป็นอันดับ 2 รองจากงบประมาณรายจ่ายประจำหรือ 16 เปอร์เซ็นต์ของยอดวงเงินรายจ่าย
โยกไปทำไมตั้ง 5.18 แสนล้านบาทเอาไปใช้เพื่อประโยชน์อะไร และเมื่อใดนโยบายของประเทศไทยจะสามารถตั้งงบแบบสมดุลได้
ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมาหลายปี ตั้งงบประมาณแบบขาดดุลมาตลอด ทั้งที่เคยประกาศกับพี่น้องประชาชนคนไทยว่าอีก 10 ปีข้างหน้าภายในปี 2572 น่าจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้เป็นแบบสมดุลได้นั้น ยังมองไม่เห็นทาง เพราะตลอด 5 ปีที่ผ่านมาท่านตั้งงบประมาณแบบขาดดุลมาโดยตลอด
ปี 2558 ขาดดุลไป 2.5 แสนล้านบาท ปี 2559 จัดงบประมาณแบบขาดดุลไป 3.9 แสนล้านบาท ปี 2560 และ ปี2561 จัดงบประมาณขาดดุลเพิ่มเป็นปีละ 5.5 แสนล้านบาท ปี 2562 จัดงบประมาณขาดดุลเป็น 4.5 แสนล้านบาทแต่ยังไม่ยอมหยุดกู้ ยังกู้เพิ่มอีก 4.6 แสนล้านบาทรวม 6 ปี พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศ กู้เงินไปสูงถึง 2.6 ล้านล้าน
จึงไม่สามารถอาจรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ได้เพราะเป็นงบประมาณรายจ่ายที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน จัดสรรไม่สมไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ของโลก ไม่ได้สร้างโอกาสแต่ยัง ตัดโอกาสของพี่น้องประชาชน