นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าตนได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นจำนวนมากตลอดสัปดาห์ถึงโครงการ “ชิมช้อปใช้”ดังกล่าวว่ามีปัญหา อย่างมากทั้งแนวคิด วิธีทำและผลที่จะได้รับ
นอกจากความไม่พร้อมและเร่งรีบในการใช้เงินภาษีของประชาชนที่ไปล้วงเอามาจากงบกลาง แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเชิงนโยบายที่ไม่มีวิชั่นของรัฐบาลเพราะโดยทั่วไปแล้วจะต้องบรรจุอยู่ในงบประมาณปกติ
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่าโครงการนี้เป็นโครงการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนอย่างน่ารังเกียจเพราะประชาชนกว่า 40ล้านคนไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบดังกล่าว
เพราะ1.เขาไม่ได้ใช้ระบบสมาร์ตโฟน
2.การเข้าถึงแอพพลิเคชั่น ที่มีขั้นตอนซับซ้อนการลงทะเบียนยุ่งยาก
3.ร้านค้ายังมีปัญหาไม่ยอมรับ
4.ระบบยังไม่สามารถรองรับกับการใช้ปริมาณพร้อมพร้อมกันเป็นจำนวนมากทำให้ร้านค้ายกเลิกโครงการกลางคันและทิ้งของที่เลือกแล้วบริเวณร้านเป็นจำนวนมาก
5.ประชาชนยังมีความกังวลใจว่ารัฐจะล้วงความลับจากเลข 13 หลักของประชาชนอาจนำข้อมูลไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ทางการเมืองของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
6.หากไม่ประสบความสำเร็จใครจะเป็นผู้รับผิดชอบนอกจากประชาชนผู้เสียภาษี
นายจิรายุกล่าวอีกว่าวิธีคิดในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยรูปแบบเช่นนี้ ถ้าเป็นนักศึกษากำลังสอบวัดผล จะให้ตกอย่างเดียวไม่ได้ต้องรีไทร์หรือไล่ออก สถานเดียวเพราะวิธีคิดจากซีเลบัมในสมอง ไม่ทำงาน และทำอย่างมีวาระแอบแฝงหรือไม่ซึ่งฝ่ายค้านจะติดตามตรวจสอบต่อไป
ส่วนกระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการให้คนออกไปท่องเที่ยวแบบนี่ เป็นวิธีคิดที่กลับหัวกลับหางเพราะเมื่อใดก็แล้วแต่ที่ประเทศมีเศรษฐกิจดีประชาชนก็จะออกไปเที่ยวและตนก็เชื่อว่าคนที่คิดโครงการนี้ย่อมรู้ว่าเงิน 1000 บาทไม่สามารถไปท่องเที่ยวที่ไหนได้โดยเฉพาะการเดินทางข้ามจังหวัดและไม่ใช่ยาวิเศษที่รัฐบาลจะกล้านำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้
ทั้งนี้ในการอภิปรายงบประมาณรายจ่าย ฝ่ายค้านจะชำแหละถึงแนวคิดของรัฐบาลในการใช้เงินภาษีของประชาชนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีได้อย่างไร แถมยังได้กลิ่นตุตุต่อเรื่องนี้ว่ามีคนได้รับผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่ม. ซึ่งนโยบายเรื่องนี้ถือว่า คนคิดฉลาดที่จะได้รับผลประโยชน์ แต่คนซวยก็คือประชาชนและคนทั้งประเทศที่ต้องเสียภาษีไปกับเรื่องนี้ ที่เรียกได้เลยว่าเป็น มหกรรมการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ นายจิรายุกล่าว