“ก้าวไกล” แฉขบวนการอุ้มประวิตรพ้นผิดคดีนาฬิกา เปิด Serial Number ให้ประชาชนช่วยหาเจ้าของ ชี้ ป.ป.ช. รู้แต่ไม่พยายามหาเพราะ คสช. ตั้งมาเอง

0
535

วันที่ 20 ก.ค. 65 อาคารรัฐสภา ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “เปิดแผนอุ้มประวิตร ปิดคดีนาฬิกาเพื่อน” โดยกล่าวถึงกระบวนการพิจารณาของ ป.ป.ช. ในการช่วยเหลือ พล.อ.ประวิตร ให้ไม่ถูกชี้มูลความผิดกรณีนาฬิกา.
.
ธีรัจชัยเริ่มต้นด้วยการกล่าวย้อนไปถึงกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตรว่า ประชาชนสงสัยว่า คนที่รับราชการมาตลอดทั้งชีวิตอย่าง พล.อ. ประวิตร เอาเงินจากไหนมาซื้อนาฬิกาหรูแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมีคนไปเปิดบัญชีทรัพย์สินที่ พล.อ. ประวิตรยื่นต่อ ป.ป.ช. ทั้ง 4 ครั้ง คือเมื่อปี 2551 2554 2555 และ 2557 ก็ไม่พบว่ามีนาฬิกาหรูเรือนนี้อยู่ในบัญชีทรัพย์สิน
.
เรื่องนี้ทำให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบรูปภาพนาฬิกาข้อมือที่ พล.อ.ประวิตร สวมใส่เวลาไปออกงานต่าง ๆ จนพบว่า พล.อ. ประวิตร ใส่นาฬิกาหรูหลายรุ่น หลายยี่ห้อ นับรวมแล้วได้ถึง 25 เรือน ซึ่งพล.อ. ประวิตรแจ้งกับ ป.ป.ช. ว่า นาฬิกาทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ตามรูปถ่ายนั้น ยืมมาจากเพื่อนคนเดียว ชื่อว่านายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 หรือเสียชีวิตไปก่อนที่เรื่องจะแดงออกมาถึง 10 เดือนเต็ม
.
ต่อมา ป.ป.ช. ได้ออกหนังสือแถลงข่าว สาระสำคัญคือ ป.ป.ช. เชื่อว่านาฬิกาทั้งหมดนั้น เป็นของนายปัฐวาท เพื่อนของ พล.อ.ประวิตรจริง และเชื่อว่า พล.อ.ประวิตร ยืมนาฬิกาของเพื่อนมาจริง มีสื่อมวลชน The Matter ได้ไปขอเอกสารผลสอบคดี และหลักฐานประกอบการสืบสวนทั้งหมดในคดี ป.ป.ช. กลับพยายามที่จะปกปิดข้อมูลด้วยสารพัดข้ออ้าง แต่สื่อมวลชนเจ้านี้ก็ยังไม่ยอมแพ้ โดยทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (กขร.) แต่ก็ยังได้แค่กระดาษเปล่ากลับมา
.
เหตุผลที่ ป.ป.ช. “เชื่อ” ว่านายปัฐวาทเป็นเจ้าของนาฬิกาจริง ล้วนแต่น่าเคลือบแคลงสงสัย ทั้งการที่ ปปช. ไม่ได้เรียกหลักฐานเข้ามาตรวจสอบที่ ป.ป.ช. แต่กลับส่งเจ้าหน้าที่ไป “บริการ” ตรวจสอบถึงบ้านนายปัฐวาท กว่าที่ ป.ป.ช. จะไปตรวจบ้านของนายปัฐวาท ก็เป็นเวลาหลังจากที่เกิดเรื่องร่วม 2 เดือน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร สามารถยักย้ายถ่ายเทนาฬิกา 20 เรือนไปที่ไหนก็ได้ อีกทั้งไม่เคยปรากฏเอกสารการซื้อขายนาฬิกาของนายปัฐวาท ไม่มีหลักฐานที่บอกว่านายปัฐวาทเคยใส่นาฬิกาหรูทั้ง 20 เรือน เช่น รูปถ่ายนายปัฐวาทกับนาฬิกา แต่ ป.ป.ช. กลับเชื่อว่านาฬิกาดังกล่าวเป็นของนายปัฐวาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1369 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ที่ยึดถือทรัพย์สินนั้นไว้เป็นการยึดถือเพื่อตน
.
สาเหตุที่ ป.ป.ช. เชื่อว่านาฬิกาเหล่านี้เป็นของนายปัฐวาทจริง เพียงเพราะลูกสาวของนายปัฐวาท มาให้การกับ ป.ป.ช. ว่า นายปัฐวาทกับ พล.อ. ประวิตรเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล นอกจากนี้ ยังมีความผิดปกติจากกรณีที่พบว่าหานาฬิกาไม่เจอ 1 เรือน ป.ป.ช. ก็ยังตีขลุมว่าหานาฬิกาเรือนอื่น ๆ อีก 20 กว่าเรือนเจอเลยถือว่านาฬิกาที่หาไม่เจอนั้นเป็นของ พล.อ. ประวิตรจริง
.
เรื่องนี้มีกรณีเทียบเคียง คือ กรณีของนายสุพจน์ ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่านายสุพจน์นั้นร่ำรวยผิดปกติ โดยมีรถโฟล์กสวาเก้นคันหนึ่ง มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ที่นายสุพจน์ไม่ได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน
นายสุพจน์ก็พยายามต่อสู้แก้ต่างว่า รถโฟล์กสวาเก้นคันนี้ เป็นรถที่ยืมคนอื่นมา แต่ ป.ป.ช. ชุดนั้นไม่เชื่อ ว่ารถคันนั้นไม่ใช่ของนายสุพจน์ ทั้ง ๆ ที่ชื่อในเล่มทะเบียนรถคันนั้น ก็เป็นของบุคคลอื่น และนายสุพจน์ก็คืนรถโฟล์กสวาเก้นคันนั้นไปแล้วด้วย แต่ ป.ป.ช. ก็ยังไม่เชื่อ โดยให้เหตุผลว่า ถึงชื่อในทะเบียนรถจะเป็นชื่อผู้อื่น แต่รถเป็นทรัพย์ของนายสุพจน์ เพราะฉะนั้นนายสุพจน์ก็ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สิน ผมถามว่ากับกรณี พล.อ.ประวิตร ทำไม ป.ป.ช. ไม่ใช้มาตรฐานเดียวกันในการวินิจฉัย เป็นเพราะ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันมีประธานเป็นอดีตคนสนิท พล.อ.ประวิตร และคณะกรรมการก็เป็น คสช. ตั้งขึ้นมาเองใช้หรือไม่
.
“ภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอขณะนี้ คือข้อมูล นาฬิกาหรูทั้ง 20 เรือน มียี่ห้อและซีเรียลนัมเบอร์ หรือหมายเลขประจำนาฬิกาแต่ละเรือน สามารถที่ จะตรวจสอบ ไปยังบริษัท ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย ในต่างประเทศได้ ที่ ป.ป.ช. และกรมศุลกากร ไม่ยอมดำเนินการตรวจสอบ ตาม พ.ร.บ. ความร่วมมือในคดีอาญา พ.ศ.2535 ให้ได้ความจริง ผมขอเรียนไปพี่น้องประชาชน สื่อมวลชน องค์กรป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรับชั่นทั่วโลก องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ในเมื่อองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริตโดยตรงของประเทศไทยไม่ตรวจสอบ ผมจึงจำเป็นต้องเปิดข้อมูลชุดนี้ เพื่อให้ประชาชนร่วมใจใช้ทุกองคาพยพที่มี ตรวจสอบให้ได้ ว่าเจ้าของนาฬิกาหรูตัวจริงคือใคร เพื่อฉีกหน้ากากความเสื่อม ความตกต่ำของกระบวนการตรวจสอบปราบปรามทุจริตคอรับชั่น และการบังคับใช้กฎหมายของประเทศนี้” ธีรัจชัยกล่าวทิ้งท้าย