‘วรรณวรี’ ชี้ คนกทม. ใช้ชีวิตตายแบบผ่อนส่งจากปัญหา PM2.5

0
450

‘วรรณวรี’ จากพรรคก้าวไกล ชี้ ชาวกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตแบบตายผ่อนส่งทุกปี ในวันที่ค่าฝุ่น PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน แต่รัฐบาลกลับไม่มีมาตการแก้ไขต้นตอปัญหา พร้อมย้ำว่า ผู้ว่ากรุงเทพฯ ควรเป็นที่มีความกล้าหาญ พร้อมชนกับปัญหา

วรรณวรี ตะล่อมสิน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ค่าฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐานในกรุงเทพมหานครว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นทุกเดือนมกราคมต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และส่งผลสุขภาพโดยเฉพาะทางเดินหายใจของประชาชน ประชาชนต้องคอยเช็คข้อมูลว่าวันไหนค่าฝุ่นในกรุงเทพจะสูงเกินมาตรฐาน แล้วไปหาซื้อหน้ากาก N95 มาเอง เพื่อป้องกันตัวเองระหว่างที่ออกไปทำงาน ทำมาหากิน และพยายามจะใช้ชีวิตให้ได้ตามปกติ

“เป็นปีที่สามแล้วที่รัฐบาล นิ่งนอนใจกับปัญหาฝุ่น ทั้งที่รู้ล่วงหน้าว่า ปัญหานี้จะต้องเกิดขึ้นทุกปี ดิฉันมั่นใจว่า รัฐบาลรู้ถึงสาเหตุหลักของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพและปริมณฑลอยู่แล้วว่า มาจากเรื่องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซล ไอเสีย ฝุ่นควันดำ โรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้จากการเกษตร และการก่อสร้าง แต่เราไม่เห็นการบังคับใช้กฎหมายหรือการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมแม้แต่น้อย สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างเดียวเท่านั้นคือ การฉีดน้ำลงบนถนน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้ผล เปลืองทรัพยากร ไม่ได้ใช้ปัญญา และไม่เกิดประสิทธิภาพ เพราะพอน้ำแห้ง ฝุ่นก็กลับมาฟุ้งกระจายเหมือนเดิม”

วรรณวรี ได้เสนอว่า รัฐบาลจะต้องออกมาตรการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ต้องไม่ใช่แค่ขอความร่วมมืออย่างที่ผ่านมา แต่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและออกมาตรการบังคับอย่างจริงจัง ในเรื่องการคมนาคม ต้องปรับเปลี่ยนรถสาธารณะ โดยหยุดใช้รถเมล์รุ่นเก่า และเอารถเมล์ไฟฟ้าที่ลดการปล่อยมลพิษและควันดำมาแทนที่ ส่วนเรื่องโรงงานอุตสาหกรรม กรมโรงงานต้องเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายกับโรงงานที่ปล่อยมลพิษทางอากาศและกำหนดค่ามาตรฐานการระบายอากาศเสียออกจากโรงงาน

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลยังคงแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษแบบขอไปที ทำเพียงปัญหาที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีการคิดอย่างเป็นระบบและออกแบบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา แต่กลับพยายามทำให้เรื่องนี้เงียบ ไม่ตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อให้คน กทม. ต้องรับสภาพ “ตายแบบผ่อนส่ง” แล้วผลักภาระการป้องกันตัวเองให้กับประชาชน ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ข้าวของราคาแพงทั้งแผ่นดิน ค่าครองชีพสูงตั้งแต่ค่ากิน ค่าเดินทาง แล้วยังต้องมารับภาระในการดูแลสุขภาพ และรักษาโรค

ปัจจุบัน คนกรุงเทพฯ เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่พอจะมีกำลังซื้อหน้ากาก N95 ซื้อเครื่องฟอกอากาศติดบ้าน ติดโต๊ะทำงานของตัวเอง เพื่อจัดให้บ้านและออฟฟิศเป็นพื้นที่ปลอดภัย แต่คนกรุงเทพส่วนใหญ่อีก 90% ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงใส่หน้ากากธรรมดาออกไปทำมาหากิน ท่ามกลางความเสี่ยงกับสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ซึ่งทำให้พวกเขาเสี่ยงกับโรคและเสี่ยงสูดหายใจนำฝุ่นเข้าร่างกาย และมีชีวิตที่เสี่ยงกับการเป็นโรคหอบหืด โรงทางเดินหายใจ หากสะสมเป็นเวลานาน ก็เสี่ยงกับการเกิดมะเร็งปอดในที่สุด

“การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่ทำตัวให้คุ้นชินกับฝุ่น PM2.5 แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่หลายหน่วยงานมีส่วนรับผิดชอบชีวิตของคนกรุงเทพฯ ตนจึงหวังว่า หากเรามีผู้ว่ากรุงเทพฯ ที่มีความจริงจังในการ ‘กล้าชนกับปัญหา’ ของผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร หากรู้ปัญหา แต่ไม่กล้าพอที่จะทะลวงปัญหาเพื่อชีวิตที่ดีของคนกรุงเทพ ก็ไม่รู้จะมีผู้ว่า ไปทำไม” วรรณวรี กล่าวทิ้งท้าย