ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีเอกสารหลักฐานของกรมประชาสัมพันธ์เตรียมเสนอ ค.ร.ม. งบ 569 ล้านจ้างคนดังInfluencer เชียร์รัฐบาล
ซึ่งจากเอกสารมีรายชื่อซุปเปอร์สตาร์หลายคนที่อยู่ในลิสต์ เพื่อเผยแพร่เกี่ยวกับการผลิตสื่อของรัฐ และเมื่อพิจารณาตัวเลขของงบประมาณ จำนวน569 ล้านบาทเกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการทำแคมเปญนี้คืออะไร รัฐได้อะไร ดาราได้อะไร และประชาชนได้อะไร
ธัญวัจน์ระบุว่า การจัดสรรงบประมาณที่เกิดขึ้นสะท้อน ความเปราะบางของรัฐบาลและเชื่อว่าการสร้างการสื่อสารเช่นนี้จะยิ่งสร้างความเกลียดชังให้แก่ประชาชนและนำพาให้แฟนคลับของนักร้องดาราสิ้นศรัทธากับบุคคลที่เขาชื่นชอบไปเรื่อยๆ อีกทั้งการรับงานเช่นนี้ของดาราสะท้อนความกลัวและเอาตัวรอด ต้องไม่ลืมคิดว่าสภาพสังคมในขณะนี้เปลี่ยนไปแล้ว ชื่อเสียงเงินทองการได้รับการยอมรับจากคนที่ชื่นชอบผลงานควรแสดงออกด้วยความสำนึกร่วมกับประชาชนส่วนใหญ่ แน่นอนว่าเราไม่ได้บังคับใครออกมาคอลเอ้า แต่การที่คุณมีชื่อเสียงเงินทองมาได้ล้วนเกิดจากแรงสนับสนุนของประชาชนหากศิลปินหลายท่านตระหนักเรื่องนี้ตนคิดว่าการปฏิเสธที่จะสื่อสารร่วมกับรัฐบาลในลักษณะนี้น่าจะเป็นทางรอดเดียวของบรรดาคนมีชื่อเสียง
ในอนาคตหากสถานการณ์คลี่คลาย เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น ประชาชนมีกำลังอุดหนุนผลงานของพวกคุณน่าจะเป็นความยั่งยืนและสร้างความภูมิใจในฐานะผู้ผลิตผลงาน ซึ่งการปรากฎตัวบนโปสเตอร์และสื่ออนไลน์ในการแสดงคอนเสริ์ตประชาชนก็คงนึกถึงความสนุกสนานของการแสดงดนตรีและผลงานเพลงที่สร้างความสุขน่าจะดีกว่า และหากย้อนกลับไปดูก็มีเหตุการณ์กับคนดังหลายท่านโต้ตอบกันหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งบางท่านก็แสดงจุดยืน บางท่านก็หาทางออกได้สวยงาม แต่บางท่านก็กลายเป็นกระแสตีกลับแฟนคลับแบน
อีกทั้งพื้นที่สื่อออนไลน์ที่ได้รับความนิยมจากประชาชน สามารถเป็นพื้นที่สำคัญของความคิดในสังคม หลายแพลตฟอร์มได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีหลัง เพราะเป็นเนื้อหามาแบ่งปันกันจนเกิดการรวมตัวของกลุ่มต่าง ๆ แต่วันนี้สื่อที่เป็นของประชาชนอาจถูก “เจือปน” ความคิดของ “รัฐ” ที่อนาคตเสพสื่อด้านใดก็คงอบอวลไปด้วยความคิดในกะลาแบบหาทางออกไม่ได้
นอกจากนี้ธัญวัจน์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนตัวตนมองว่าโครงการนี้ประชาชนไม่ได้อะไรนอกจากรู้สึกถูกซ้ำเติมทั้งจากคนดังและรัฐ ส่วนดาราก็ได้เงินแต่แฟนคลับก็ไม่อิน ดารานักร้องก็ร้องกันไปเต้นกันไปเหมือนนายสั่ง ส่วนรัฐยิ่งไม่ได้อะไรเพราะการประชาสัมพันธ์แบบนี้ในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งทำให้ประชาชนมองรัฐบาลแย่ลงไปอีก
อีกทั้งได้เสนอต่อกรมประชาสัมพันธ์ว่า อย่าคิดสื่อสารเพียงแค่ความมั่นคงในประเทศ เพราะเดี๋ยวนี่ไม่มีใครเสพสื่อแบบนั้นแล้วน่าจะร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรมสนับสนุนทำงานบันเทิงสอดแทรกการประชาสัมพันธ์ประเทศ เลิกใช้วิธีสื่อสารแบบ “ควบคุม” แค่ให้ใช้แนวคิด “ขยายและต่อยอด” โดยใช้งบประมาณรัฐเปิดตลาดทั่วโลก สร้างงานสะท้อนชีวิตคนที่หลากหลาย บทเพลงที่ไพเราะ เพราะความสามารถของศิลปินนักร้องดาราไทยนั้นก็ทัดเทียมต่างประเทศ ขยายตลาดออกไปคนทำงานวงการบันเทิงไทยยิ่งได้เงิน ได้ทั้งชื่อเสียงและการต่อยอด แต่หากผลิตสื่อล้างสมองแล้วก็จะไม่ได้ทั้งเงิน ไม่ได้ชื่อเสียงและต่อยอดอะไรไม่ได้ พังพาบพังทลายไปกันหมด ธัญวัจน์กล่าว