ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษา คดีที่อัยการสูงสุด หรือ อสส.เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้สินเชื่อแก่เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต วงเงินกว่า 9 พันล้านบาท
ในคดีศาลฎีกาแบ่งการพิจารณาเป็น 2 ประเด็น
คือ 1คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือคตส.มีอำนาจในการ ดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็น ประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง ที่อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งในประเด็นนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการทางการเมือง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวได้ส่งเรื่องให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำวินิจฉัย ระบุว่าประกาศคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันทุกองค์กร
ส่วนประเด็น ว่า ดร.ทักษิณชินวัตร จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ‘บิ๊กบอส’ หรือ ‘ซูเปอร์บอส’ ที่ถูก นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ ซึ่งเป็นพยานอ้างว่าเป็นผู้สั่งการให้ธนาคารกรุงไทยฯปล่อยกู้สินเชื่อ ให้จำเลยที่ 19 หรือกลุ่มกฤษดามหานครนั้น ยังไม่มีพยานหลักฐานเชื่อว่าคือ ดร.ทักษิณ ชินวัตร หรือ คุณหญิงพจมาน ณป้อมเพชร คำเบิกความของนายชัยณรงค์ จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้าง และความเข้าใจของจำเลยเอง ซึ่งเป็นการรับฟัง จากจำเลยที่ 2 เท่านั้น ว่าจำเลยที่ 1 หรือ ซุปเปอร์บอส เป็นผู้สั่งให้จำเลยที่ 2 ถึง 4 อนุมัติสินเชื่อ ส่วนคำให้การ ของนายอุตตมะ สาวนายน พยานในคดีอีก 1 คน รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้โทรมาสั่งการให้นายอุตตมะ พิจารณาอนุมัติสินเชื่ออย่างไร
ขณะเดียวกันเห็นว่า นายชัยณรงค์ ยังเป็นหนึ่งในผู้อนุมัติสินเชื่อ ดังนั้นการเบิกความ ศาลจึงควรฟังด้วยความระมัดระวัง จากพยานหลักฐานและคำเบิกความของโจทก์ จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งการผ่านจำเลยที่ 2 ถึง 4 ให้อนุมัติสินเชื่อดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง