เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม จากกรณีที่ได้มีเฟซบุ๊กชื่อ “แมค หอกระจายข่าว ชาวนาโพธิ์” ซึ่งทราบต่อมาว่าคือ ธนากร สัมมาสาโก เจ้าของร้านข้าวมันไก่ในบุรีรัมย์และอดีตผู้สมัครสมาชิกสภา อบจ.จังหวัดบุรีรัมย์ โพสระบุข้อความถาม นายโสภณ ซารัมย์ ถึงโครงการการรับส่งผู้ป่วยโควิด โดยตั้งข้อสังเกตเรื่องการใช้รถตำรวจของ สภ.นาโพธิ์แต่ให้ผู้ป่วยรับผิดชอบออกค่าน้ำมันโดยอ้างเป็นโครงการของตนเอง หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ก็ได้โพสต่อว่าตัวเองถูกทำร้ายร่างกายคาดว่าเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ทั้งนี้เมื่อสอบถามรายละเอียดไป ได้ความว่าก่อนหน้าเหตุถูกทำร้ายร่างกายนี้ได้มีตำรวจนายหนึ่งโทรเข้ามาหาเพื่อชี้แจงและขอให้ลบข้อความ หลังจากนั้นนักการเมืองท้องถิ่นคนดังกล่าวได้มาที่บ้านเพื่อขอให้ลบข้อความเฟซบุ๊กออก แต่ตนแสดงความตั้งใจว่าจะไม่ลบข้อความเพราะเป็นเพียงการตั้งคำถามต่อการทำงานของผู้แทนราษฎรเท่านั้นเองซึ่งตนมีสิทธิที่จะตั้งคำถามได้ ต่อมาหลังการเจรจาไม่สำเร็จได้มีการใช้ความรุนแรงจากคู่กรณี เจ้าตัวจึงได้เข้าแจ้งความที่สภ.นาโพธิ์ และร้องเรียนไปยัง นายคำพอง เทพาคำ พรรคก้าวไกล นั้น
นายคำพอง กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเห็นว่าในเมื่อประชาชนมีข้อสังสัยในการปฎิบัติงานตามโครงการดังกล่าว ก็เป็นเรื่องปกติในการตรวจสอบการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะมีการใช้อุปกรณ์ของรัฐในการดำเนินการ เมื่อประชาชนมีข้อสงสัยก็ต้องออกมาตอบคำถามเพื่อคลายข้อสงสัย แต่เหตุการนี้กลับมีการคุกคามข่มขู่และทำร้ายร่างกายประชาชนซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ดังนั้นผมเห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงและรับผิดชอบต่อกรณีนี้ให้ชัดเจนโดยเร็ว
“ผมเชื่อว่าระบอบที่เป็นประชาธิปไตย รัฐที่โปร่งใส รัฐบาลที่ยึดโยงและฟังเสียงประชาชน เมื่อมีการตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์นโยบายทุกระดับย่อมเกิดขึ้นได้อย่างมีเสรี สิ่งที่รัฐบาลหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพึงกระทำไม่มีอะไรยาก เพียงตอบคำถามและชี้แจงด้วยหลักฐาน ด้วยเหตุด้วยผล หรือปรับปรุงแก้ไขหากสิ่งเหล่านั้นผิดเพี้ยนจริง เสียงทุกเสียงของประชาชนควรได้รับการรับฟัง สำคัญคือ ไม่ควรมีใครถูกดำเนินคดี ใช้กฎหมายปิดปาก รุนแรงกว่านั้นคือใช้วิธีอันธพาลทำร้ายร่างกาย หรือหมายถึงชีวิต เพียงเพื่อจะข่มขู่ให้เสียงนั้นเงียบลง แต่ปัญหาต่างๆ ที่ผุดขึ้นจากเสียงเหล่านั้น นอกจากมิได้ถูกแก้ไขกลับดำรงอยู่เสมือนปกติต่อไป” นายคำพอง กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 7 สิงหาคม นายคำพองและทีมงานจะเดินทางไปยังพื้นที่เพื่อตรวจสอบหารายละเอียดเหตุการณ์ในครั้งนี้เพิ่มเติมเพื่อคลี่คลายและให้ความเป็นธรรมต่อกรณีดังกล่าว เพื่อยืนถึงหลักการว่าไม่ควรมีใครถูกทำร้ายร่างกายเพียงเพราะออกมาตั้งคำถามต่อการทำงานของผู้แทนราษฎร
