นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตสวนหลวง พรรคกล้า กล่าวแสดงความเห็นต่อการจัดสรรวัคซีนชนิดmRNA ยี่ห้อไฟเซอร์ ซึ่งได้รับการบริจาคจากสหรัฐว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดการอย่างโปร่งใสเพราะเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตศรัทธาของรัฐบาลที่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการจะฝ่าฟันมรสุมโรคระบาดจำเป็นต้องอาศัยความเชื่อมั่นและเชื่อใจในตัวผู้นำและรัฐบาลอย่างมาก
.
“หลายครั้งเราก็อาจได้เห็นถึงความตั้งใจก็จริงของภาครัฐและคนทำงาน แต่หลายกรณีสุดท้ายไปตายเพราะสื่อสารผิดพลาดก็มี เรื่องแบบนี้จึงกลายเป็นวิกฤตศรัทธาที่ต้องรีบกู้โดยเฉพาะเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน อย่างกรณีล่าสุดไม่ทันไรก็เกิดความกังขาว่าวัคซีนไฟเซอร์ที่เพิ่งมาถึงล็อตนี้หายไป 30,000 โดสหรือไม่ พอมาผสมกับข่าวลือข่าวแว่วว่ามีวีไอพีคนนั้นคนนี้ได้ฉีดแล้วก็กลายไปคำถามดังๆจากสังคมทันที เรื่องนี้พอเช็คไปแล้วพบว่าเป็นความคลาดเคลื่อนทางการสื่อสาร ซึ่งยอดวัคซีนที่แจ้งล่าสุดตรงกับทางสหรัฐ แต่เป็นผู้สื่อสารของเราเองที่พูดแบบตัวเลขกลมๆเลยกลายเป็นความสับสนไป เรื่องนี้ต้องปรับปรุงอย่าให้เกิดบ่อยจนทำลายความเชื่อมั่นได้”
.
อย่างไรก็ตาม อริย์ธัช มีข้อแนะนำว่า เรื่องสำคัญที่รัฐบาลควรต้องรีบทำให้ชัดเจนเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็คือต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าวัคซีนไฟเซอร์กว่า 1,500,000 จะไปอยู่บนแขนใครบ้าง เพราะเป็นคำถามจากประชาชนมาตลอดแน่นอนว่า 700,000 โดส จะไปถึงบุคลากรด่านหน้า ตรงนี้ชัดเจนแล้ว เนื่องจากมีการสั่งให้เปิดเผยรายชื่อหมอพยาบาลและบุคลากรที่จะได้ฉีดวัคซีนรอบนี้ ประชาชนเองก็เข้าใจและยินยอมให้ด่านหน้ามีเกราะที่ดีทีสุดไปสู้กับเชื้อไวรัสร้าย ในส่วนนี้จึงไม่ใช่ปัญหา
.
“ปัญหาคือวัคซีนที่เหลือจะไปไหนต่อ ตรงนี้ยังคลุมเครือ ขณะนี้เท่าที่ทราบคือจะมีการจัดสรรในลักษณะโควต้าส่งไปหน่วยงานต่างๆตามยอดที่ขอมาจากนั้นก็จะนำไปจัดสรรให้กลุ่มที่จำเป็น ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีการจัดการส่วนนี้จะเห็นแนวปฏิบัติที่แตกต่างจากการฉีดให้ด่านหน้าที่ต้องแจ้งยอดและชื่อกลุ่มเป้าหมายชัดเจน แต่พอเป็นวัคซีนที่จะจัดสรรไปส่วนงานอื่นกลับบอกให้แจ้งแค่ยอดกว้างๆโดยค่อยใส่ข้อมูลผู้ฉีดเข้ามาตามหลัง จึงต้องเรียนตรงๆว่า สังคมไทยเราเรื่องแบบนี้อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เพราะเวลาอยากได้หลักฐานย้อนหลังแบบไหนให้ตรงกับเหตุผลขอการสนับสนุนก็ทำได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะงบประมาณต่างๆหรือการกระจายวัคซีนแบบนี้ พอให้แสดงเอกสารภายหลังก็ปั้นชื่อปั้นแสดงความจำเป็นมาได้หมด เพื่อทำให้ถูกต้องตามระเบียบราชการและกฎหมายทุกอย่าง แต่ถามผลลัพธ์ว่าวัคซีนจะตรงกลุ่มเป้าหมายหรือมีผลสัมฤทธิ์สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง นี่จึงเป็นระบบที่ไม่ต้องพูดเยอะ เพราะเป็นเรื่องที่รู้กันดีแก่ใจคนไทยเราที่รู้เช่นเห็นชาติกันมานาน”
.
อริย์ธัช จึงมีข้อแนะนำว่า หากจะให้การจัดการวัคซีนไฟเซอร์ครั้งนี้เป็นการจัดการเพื่อแก้ปัญหาจริงๆ ทั้งในด้านโควิดเและด้านวิกฤตศรัทธา รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ควรใช้วิธีที่ชัดเจนโปร่งใส ตรวจสอบรายชื่อได้ตั้งแต่แรกว่าใครจะได้บ้างดีกว่า ทั้งนี้ขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายแก้ปัญหานี้ได้จริงๆ แต่ถ้าการกระจายวัคซีนล็อตนี้ยังพังอีก วิกฤตศรัทธาที่รออยู่ครั้งต่อไปก็คงยากจะแก้ได้อีกซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งรัฐบาลเองและการแก้ปัญหาในภาพรวม