‘สุรเชษฐ์’ เตือน ศึกวัคซีน ‘บางซื่อ’ อย่าหาประโยชน์ทางการเมืองบนชีวิตของประชาชน

0
830

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล มองกรณีความแออัดของประชาชนที่ไปต่อคิวรอฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อและการทวงถามถึงวัคซีนจากกระทรวงสาธารณสุขที่กรุงเทพมหานครบอกว่าได้รับมาน้อย ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จนต้องมีการเบรคกันไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายว่า ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เห็นบนยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้คือความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาลและการฉวยโอกาสหาประโยชน์กันตลอดเวลาจากสภาพรัฐบาลแบบนี้ รัฐบาลประยุทธ์คือการก่อตัวขึ้นจากกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่มาแบ่งเค้กโครงการรัฐด้วยจำนวนมือที่มีในสภาของแต่ละมุ้งหรือแต่ละพรรคเพื่อแลกกับการค้ำยันรัฐบาลอันเป็นมรดกของ คสช. รัฐบาลแบบนี้จึงไม่สามารถบริหารประเทศได้แม้ในภาวะปกติและมีแต่จะยิ่งหนักขึ้นในภาวะวิกฤต ดังนั้น ความเป็นจริงอันน่าเศร้าที่ซ่อนอยู่ใต้ธารน้ำแข็งก็คือ แม้ในช่วงที่ประชาชนกำลังเผชิญชะตากรรมป่วยไข้ล้มตายจากโรคระบาดเช่นนี้ การช่วงชิงแสวงหาประโยชน์กันก็ยังคงอยู่
.
“ยิ่งการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครใกล้เข้ามา ผมคิดว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน ก็ยิ่งมีความร้อนรน ดังที่มีกระแสข่าวรับรู้เป็นการทั่วไปว่า เขาอยู่ในช่วงที่ต้องแย่งชิงการเป็นแคนดิเดตผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่ยังสดใหม่กว่าและหลายฝ่ายถือข้างนี้อยู่ ผู้ว่าคนเดิมซึ่งบริหารงานมานานแต่ไม่มีผลงานอะไรมากจึงหวังที่จะใช้วัคซีนเครื่องซื้อใจคนกรุงเทพ เช่น พยายามทำโครงการไทยร่วมใจ โดยหวังว่าจะได้รับการจัดสรรวัคซีนมาให้ แต่สุดท้ายก็ถูกดึงกลับ ไม่เป็นไปตามคาด ต่างจากพรรคภูมิใจไทยที่มีทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงสาธารณสุขอยู่ในมือ จึงสามารถตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อที่มีสถานที่ขนาดใหญ่และอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงคมนาคมได้ นอกจากนี้ยังได้ดึงยอดวัคซีนจากต่างจังหวัดเข้ามา โดยเฉพาะวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า โดยอ้างถึงสถานการณ์ความจำเป็นของกรุงเทพที่อยู่ในวิกฤต ในหลักการก็พอรับได้ แต่ก็ดูเหมือนว่าเมื่อดึงเข้ามาแล้วในทางปฏิบัติก็ยังมีข้อกังขาอยู่ เช่น วัคซีนไปไม่ถึงกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้ก่อนหรือมีการจัดสรรวัคซีนไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ที่รู้กันอยู่ว่าเป็นฐานเสียงของพรรคใดและได้วัคซีนเป็นจำนวนมากทั้งที่ไม่ใช่พื้นที่วิกฤต เป็นต้น”
.
สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า เราจะเห็นภาพมือใครยาวสาวได้สาวเอา แบบนี้ตลอดเวลา วันดีคืนดี กทม. ก็ออกมาทวงวัคซีนบอกว่าให้คนกรุงเทพ อีกวันกระทรวงแรงงานก็ออกมาทวงวัคซีนให้แรงงานกลุ่มประกันสังคม อีกวัน กทม. ก็ห้ามกระทรวงอื่นเข้าไปดูแลแรงงานบอกว่าจะดูเอง สุดท้ายแรงงานในกรุงเทพก็ถูกลอยแพ อีกวัน สาธารณสุขก็รวบเอาวัคซีนมากระจุกไว้ในศูนย์ของตัวเอง แต่ไม่กระจายไปให้หน่วยงานต่าง ๆ เอาไปฉีดตามน้ำหนักของสถานการณ์ เช่น ชุมชนแออัดหรือแคมป์แรงงาน ทั้งที่ความจริงควรจะได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมเชื้อและป้องกันการเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง รวมถึงควรกระจายออกไปให้พื้นที่จำเป็นโดยรอบอย่างปริมณฑลที่สีแดงเข้มไม่แพ้กันและเป็นเขตแรงงาน แต่เมื่อแต่ละพรรคยังมองวัคซีนเป็นโอกาสหวังผลทางการเมืองได้ การแก้ปัญหาจึงสับสนวุ่นวายไปหมด การฉีดไม่ตรงจุดไม่ตรงเป้า ขึ้นกับพลังทางการเมืองในแต่ละช่วงที่รวบรวมมาต่อรองกับนายกรัฐมนตรีได้ การหาผลประโยชน์ทางการเมืองบนชีวิตของประชาชนแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง
.
ทั้งนี้ สุรเชษฐ์ เสนอว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพื่อให้ทุกฝ่ายไม่สามารถนำวัคซีนไปเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ก็คือ การตรวจสอบได้โดยประชาชน รัฐบาลจะต้องเปิดเผยข้อมูลการกระจายวัคซีนทั้งที่ผ่านมาและที่กำลังจะมีในอนาคตให้เป็นข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ควรทำหน้าที่ของตนเองในการบูรณาการทลายข้อจำกัดเรื่องระเบียบราชการ และบูรณาการให้ทุกหน่วยงานดำเนินงานไปบนฐานข้อมูลชุดเดียวกัน เช่น การลงทะเบียนและตรวจสอบการฉีดวัคซีน การจัดสรรวัคซีนให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การตรวจสอบได้ว่าด่านหน้าได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพจริงจนครบถ้วน กลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงวัยและผู้มีโรคเรื้อรังในพื้นที่ระบาดหนักได้รับวัคซีนตามลำดับความสำคัญโดยไม่ตกหล่น แต่หากยังปล่อยให้การกระจายวัคซีนมีความคลุมเครือแบบที่เป็นอยู่ นอกจากจะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นจากประชาชนแล้ว ยังจะทำให้ศักยภาพในการควบคุมการระบาดไม่เกิดขึ้นและการเสียชีวิตก็จะไม่ลดลงด้วย ข้อมูลที่โปร่งใสจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงท่ามกลางบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดที่กำลังประลองกำลังกันหาประโยชน์บนชีวิตประชาชนแบบตอนนี้อย่างแน่นอน